โม-กิ๊ฟ สองสาว LA กับจุดเริ่มต้นครั้งสำคัญในฐานะ MU-IR Ambassador 2020

เมธาวี จรรยานนท์วิทย์ เขียน

มนัชยา กระโห้ทอง พิสูจน์อักษร

เมธาวี จรรยานนท์วิทย์ ภาพประกอบ

“พวกเธอทั้งหลาย การเล่นเป็นของดี การเรียนนั้นก็เป็นของดีและสำคัญ แต่การที่จะให้ดีกว่านั้น คือคนที่เรียนก็ดีและเล่นก็ดีด้วย”

ประโยคข้างต้นนี้เป็นพระราชโอวาทที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก หรือ “สมเด็จพระราชบิดา” พระราชทานสอนนักศึกษาเตรียมแพทย์ปริญญารุ่นที่ 2 เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านอกจากการเรียนที่เราต้องเก็บเกี่ยววิชาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการทำงานแล้ว กิจกรรมก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเปิดโลกทัศน์และพัฒนาตัวเรา ทั้งในแง่ของการใช้ชีวิต ทักษะต่าง ๆ อย่างการเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี การสื่อสาร การตัดสินใจ การทำงานเป็นทีม และอีกหลายด้าน ซึ่งถ้าเราสามารถทำทั้งสองสิ่งได้ดี มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเรามาก

MU-IR Ambassador คือหนึ่งในกิจกรรมของมหาวิทยาลัยมหิดลที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเพื่อเฟ้นหาฑูตประจำมหาวิทยาลัยเพื่อทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของมหาวิทยาลัย เข้าร่วมกิจกรรมในระดับนานาชาติ และช่วยเหลือกิจกรรมด้านความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยมหิดลและสถาบันการศึกษาทั้งต่างสถาบันและต่างประเทศ โดยในการเฟ้นหา MU-IR Ambassador ในปีนี้มีรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะศิลปศาสตร์ที่ได้รับตำแหน่งฑูตมหาวิทยาลัยมหิดลถึง 2 คนด้วยกัน ได้แก่ มัณฑนา เหล่าภัทรเกษม หรือ โม นักศึกษาชั้นปีที่ 3 สาขาภาษาอังกฤษ และ วิชญาภา วงศ์สกุลวิวัฒน์ หรือ กิ๊ฟ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาภาษาอังกฤษ ซึ่งขอบอกว่ากว่าทั้งคู่จะได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งคู่ผ่านอะไรมาบ้าง เตรียมตัวอย่างไร และทำอย่างไรจึงได้รับตำแหน่ง MU-IR Ambassador ได้ ไปติดตามกันต่อเลยค่ะ

(ซ้าย) กิ๊ฟ-วิชญาภา วงศ์สกุลวิวัฒน์ (ขวา) โม-มัณฑนา เหล่าภัทรเกษม
ขอบคุณภาพจาก มัณฑนา เหล่าภัทรเกษม

เริ่มกันที่นักศึกษาชั้นปีที่ 3 เจ้าของสำเนียงภาษาอังกฤษสุดไพเราะและความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม มัณฑนา เหล่าภัทรเกษม หรือ โม

รู้จักโครงการ MU-IR Ambassador ได้อย่างไร?

โม: เท่าที่จำได้เรารู้จักโครงการ MU-IR Ambassador เป็นครั้งแรกตอนที่เข้าไปปฐมนิเทศในมหิดลสิทธาคารตอนปี 1 เราจำได้ว่ามีพี่ๆตัวแทนทูตมหาลัยของปีนั้นขึ้นมาพูดเชิงสร้าง Inspiration บนเวที ให้กับน้องๆ แล้วเราก็เลยรู้สึกว่าเราเองก็สนใจมากๆ เราก็เลยแบบ ลองไปหาดูตามเพจเฟซบุ๊คต่อว่า MU-IR Ambassador คืออะไร ต้องสมัครอะไรยังไงบ้าง

สมัครมาตั้งแต่ปี 1 เลยหรือเปล่า?

โม: เพิ่งสมัครปี 3 เพราะว่า โดยความตั้งใจคืออยากจะสมัครตั้งแต่ปี 1 เลยนั่นแหละ แต่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่พร้อมสักที แล้วพอมาปี 2 ก็กรอกใบสมัครอะไรเสร็จเรียบร้อยละ เหลือแต่อัดคลิปวิดิโอ แต่ตอนนั้นก็คือมันสอบกลางภาคหรือปลายภาคหรือติดอะไรสักอย่างพอดี แล้วมันทำให้ทำงานไม่ทัน ก็เลยมาสมัครตอนปี 3 

ช่วงที่จะเข้าโครงการ เตรียมตัวอย่างไรบ้าง?

โม: พอเราเข้าไปแล้ว เราก็แค่ไปเข้าค่าย ไปทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น จะว่าไป มันไม่ได้มีอะไรให้เตรียมตัวโดยเฉพาะเจาะจงนะ แต่ถ้าเตรียมตัวในที่นี้ก็อาจจะเป็นเรื่องของกรอกใบสมัคร เตรียมเอาส่วนหนึ่งของใบสมัครที่ต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาเซ็น แล้วก็เตรียมอัดคลิปวิดิโออะไรงี้ แบบเตรียมสคริปต์ที่จะพูดแนะนำตัวอะไรเงี้ย ในส่วนของใบสมัครอาจจะเผื่อเวลาไว้สักนิดนึงน่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาแพนิควันใกล้ส่ง แต่ถ้าจะให้แนะนำก็คือ อาจจะเตรียมตัวเรื่องภาษาอังกฤษกันก็น่าจะดีนะ เพราะตลอดทั้งกิจกรรมในค่าย และวันแข่งก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษหมดเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่อยากให้กังวลมากเกินไป เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญกว่าก็คือเรื่องของทัศนคติของตัวเราด้วย

หมายความว่าเราต้องส่งใบสมัครกับวิดิโอเข้าไป แล้วเขาจะคัดเลือกจากใบสมัครและวิดิโอ?

โม: ใช่ ใบสมัครและวิดิโอคือเป็นขั้นตอนของการสมัครเริ่มต้น ก็คือพอเราส่งใบสมัครอันนี้ไปแล้วเราผ่าน ขั้นตอนต่อไป ทางกรรมการเขาจะเลือกผู้สมัครที่ผ่านเข้ารอบมาเข้าค่าย ซึ่งในปีนี้มีทั้งหมด 29 คน จากนั้นก็ไปทำกิจกรรม ภายในค่ายมันก็มีกิจกรรมทั้งแบบเป็น Charity ด้วย ก็คือเราไปกันที่โรงเรียนตำบล ชายแดนบ้านต้นมะม่วงที่กาญจนบุรี ก็ไปสอนภาษาอังกฤษให้น้อง ๆ ไปทำกิจกรรมกับน้อง ๆ อะไรงี้ แล้วจากนั้นเราก็กลับมาทำกิจกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของการคัดเลือก MU-IR ก็คือ ทำกิจกรรมสานสัมพันธ์กันในระหว่างค่ายอะไรงี้ ซึ่งในรอบเข้าค่ายนี้เองก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการคัดเลือก และสำหรับรอบที่จะตัดสินแบบ Finalize จริง ๆ ที่จะหา MU-IR Star Ambassador ที่ได้รับตำแหน่ง 5 คน ก็จะเป็นรอบของการแข่งขันเมื่อวันพุธที่ 22 มกราที่ผ่านมา ก็คือ เราจะต้องแข่งโต้วาทีกันเป็นภาษาอังกฤษ โดยแบ่งเป็นทีมที่เขาคละให้หลังจากเข้าค่ายเสร็จแล้ว และก็จะมีรอบตอบคำถามเพื่อดูทัศนคติของเรา และผลตัดสินก็เป็นคะแนนตั้งแต่ตอนเข้าค่ายมาจนถึงวันประกวดเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่ไม่ได้รางวัลในวันประกวดก็ยังได้รับการ entitle ว่าเป็น MU-IR AMBASSADOR ของปี 2019 ด้วยเหมือนกัน ก็คือสุดท้ายแล้วหลังการประกวดทุกๆคน ทั้งที่ได้รับตำแหน่งและไม่ได้รับตำแหน่ง ก็จะมีโอกาสเข้ามาทำงานร่วมกันด้วยเหมือนกัน 

สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในการเข้าร่วมโครงการ MU-IR Ambassador คืออะไร?

โม: สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดในตอนนี้ น่าจะเป็นพวกเรื่องมิตรภาพที่ได้จากเพื่อนหลาย ๆ คณะอะไรงี้ เพราะตอนแรกที่เราจะไปเข้าค่ายเนี่ย เราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยนะ แต่พอเราลองไปเข้าค่ายแล้ว กลับทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย เราชอบความที่แบบทุกคนที่เข้าไปโดยไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องแข่งกันว่าใครจะต้องเป็น MU-IR Star Ambassador แต่ทุกคนเข้าไปเพื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน เข้าไปแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีต่อกัน 

คิดว่าอะไรที่ทำให้โมได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน MU-IR Ambassador 

โม: อันนี้ตอบยากเหมือนกันนะ เราเองก็ไม่กล้าตอบเต็มปากเต็มคำเหมือนกันนะ (หัวเราะ) แต่เราคิดว่าทางกรรมการเขาน่าจะเห็นความตั้งใจของเรามั้ง น่าจะเห็นความมุ่งมั่นของเราว่า เออ เราอยากเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้นะ เราอยากที่จะเข้ามามอบสิ่งที่ดี ๆ กลับไปให้กับมหา’ลัย เป็นตัวแทนมหา’ลัยที่ดีในการทำหน้าที่ต่อตรงนี้ อะไรประมาณนี้ เราคิดว่าที่เขาเลือกเราน่าจะเป็นเพราะเขาคงเห็นความตั้งใจของเราตรงนี้

รู้สึกอย่างไรบ้างกับการได้เข้าร่วมโครงการนี้

โม: เรารู้สึกดีใจและภูมิใจที่ตัวเองเลือกเข้ามาสมัครโครงการนี้ แล้วก็พอเข้ามาแล้วเนี่ย ก็ตั้งใจที่สุด ก็ได้เป็นฑูตมหาวิทยาลัยสมความตั้งใจ รู้สึกดีใจมาก ๆ คือ รู้สึกว่าขอบคุณตัวเองที่กล้าพาตัวเองก้าวออกมาจาก comfort zone แล้วก็มาสมัครโครงการนี้ และเราก็รู้สึกประทับใจมากๆเลยด้วย ที่ทำให้เราได้มาเจอมิตรภาพดีๆ จากเพื่อนๆหลายคณะเช่นกัน 

ในความคิดของโม MU-IR Ambassador คืออะไร

โม: MU-IR Ambassador ถ้าแปลตามตัวก็คือ ฑูตมหาวิทยาลัย ตอนแรก เราก็เข้าใจว่า ฑูตในที่นี้ ถ้ามองในเรื่องของคนที่เป็นฑูตอาชีพก็คือ น่าจะเป็นคนที่สานสัมพันธ์ระหว่างประเทศอะไรงี้ใช่มั้ย แต่ว่าถ้า MU-IR Ambassador ถ้าพูดกันในที่มหาวิทยาลัยเราแล้วก็คือเราไปทำงานร่วมกันกับกองวิเทศสัมพันธ์ที่แน่นอน เขาก็จะต้องทำงานโคกับมหาวิทยาลัยที่ต่างประเทศอยู่แล้วอะไรงี้ เพราะฉะนั้น การที่เราเป็นฑูตมหา’ลัย นั่นหมายความว่าเราเป็นเหมือนกับ The Face of Mahidol ที่จะ represent อะไรก็ตาม สิ่งดี ๆ ในมหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นตัวแทนในการสานความสัมพันธ์ระหว่างมหาวิทยาลัยเราแล้วก็มหาวิทยาลัยต่างประเทศ หรือแม้แต่ต่างมหาวิทยาลัยภายในประเทศกันเอง

ให้โมให้คำแนะนำกับน้อง ๆ ที่จะสมัคร MU-IR ในปีถัด ๆ ไปหน่อย

โม: ถ้าจะต้องให้คำแนะนำน้องๆ  เราก็คงอยากแนะนำให้น้องมาสมัครเลยนี่แหละ (หัวเราะ) เพราะการได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัย 4 ปีเนี่ย ก็อยากจะให้น้องๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทุกอย่างให้เต็มที่ พาตัวเองก้าวออกมาจาก comfort zone ให้ได้มากที่สุด เช่นอาจจะลองมาสมัคร MU-IR กันดู อย่างน้อยแค่ทุกคนยื่นใบสมัครแล้วผ่านรอบใบสมัครไปเข้าค่าย ทุกคนก็จะได้ถือว่าเป็น MU-IR Ambassador กันหมดแล้ว ทุกคนจะได้มาเรียนรู้อะไรเยอะแยะเลยจากตรงนี้ จะได้รับมิตรภาพจากเพื่อนต่างคณะ สุดท้ายนี้ก็คงอยากจะแนะนำให้เข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันนี่แหละ

หลังจากเราได้ทราบประสบการณ์จากรุ่นพี่อย่างโมไปแล้ว เรียกได้ว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้นั้นต้องผ่านอะไรหลายอย่างมาก และแต่ละอย่างนั้นไม่ง่ายเลยทีเดียว คราวนี้เรามาติดตามเรื่องราวของน้องปีหนึ่งไฟแรงอย่างน้องกิ๊ฟกันบ้างค่ะ

รู้ข่าวโครงการ MU-IR Ambassador ได้อย่างไร ทำไมถึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ

กิ๊ฟ: ตอนแรกได้ยินมาจากเพื่อน เพื่อนในคณะนี่แหละค่ะ ปี 1 เหมือนกัน ชื่อกร เขาแบบมาบอก บอกทุกคนแหละค่ะว่า เฮ้ย มันมีโครงการของมหา’ลัยอยู่ เป็นแบบ MU-IR Ambassador ได้เป็นแบบฑูตมหา’ลัยอะไรงี้ ลองไปดูมั้ย แล้วเราก็เลยแบบว่า เฮ้ย มันมีอะไรอย่างนี้ด้วยเหรอ เราก็เลยแบบสนใจ แล้วก็ให้เขาส่งรายละเอียดมาทางไลน์ ส่งแบบข้อมูลอะไรงี้มาทางไลน์ แล้วเราก็เข้าไปดูว่าคนเนี้ยได้อะไรบ้าง เราจะต้องไปทำกิจกรรมอะไร เราต้องมีคุณสมบัติยังไงบ้าง อะไรงี้ ก็เข้าไปดู พอเราสนใจปุ๊บ เราก็ไปติดตามเพจในเฟซบุ๊กของเขา แล้วก็ติดตามข่าวสารมาเรื่อย ๆ แล้วก็ไปลงสมัครอะค่ะ

ก่อนเข้าร่วมโครงการ เตรียมตัวอย่างไรบ้าง (ตอนสมัคร ตอนแข่งขันแต่ละรอบ) 

กิ๊ฟ: ก็คือไปดูพวกคลิปของ IR รุ่นก่อน ๆ น่ะค่ะ มันจะมีบางคลิปที่เขาพูดแนะนำตัวอะไรงี้ค่ะ ก็มีอยู่บ้าง แล้วก็ไปดูว่าเป็น IR ต้องทำอะไรบ้าง มีหน้าที่อะไร ดูว่าจะได้อะไรจากโครงการนี้ มันจะทำให้เราพัฒนาเรื่องอะไรบ้างค่ะ

รู้มาว่าในการแข่งขันจะมีเป็นรอบ ๆ ด้วย น้องเตรียมตัวอย่างไร

กิ๊ฟ: เอาจริง ๆ นะคะ คือไปด้นสดหน้างานมากกว่า เรารู้สึกว่าไม่ต้องทำอะไรให้มันโอเวอร์มาก Strict กับตัวเองมาก แล้วรู้สึกว่าเราเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุดก็น่าจะดีที่สุดแล้ว ส่วนพวกดีเบตก็จำเป็นต้องเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าอยู่แล้ว เพราะเขามีระยะเวลาให้เตรียม แล้วก็ไปจัดกับเพื่อนว่าคนนี้จะพูดอันนี้นะ แล้วก็ไปคิดมาก่อนว่าเราจะโต้เขาอย่างงี้ เราจะเสนอเขาอย่างนี้อะไรอย่างนี้ค่ะ

ได้ทำอะไรบ้างในโครงการนี้

กิ๊ฟ: มันจะมี 5 วัน แบบว่า 4 วันติดกัน ส่วนอีกวันแยกออกไปอีกหนึ่งอาทิตย์ 2 วันแรก เราจะติวเป็นพวกเลคเชอร์ จดงานอะไรอย่างนี้ แบบอาจารย์ก็จะพูดอยู่หน้าห้อง บรรยาย สอนทั้ง 2 วันแรก ส่วนวันที่ 3 กับ 4 ค่ะ เราไปค้างคืน เป็นค่าย 2 วัน 1 คืนที่จังหวัดกาญจนบุรีค่ะ แล้วในค่ายนั้นอะค่ะ เราก็ได้ไปหาน้อง ๆ ที่อยู่ในโรงเรียนที่จังหวัดกาญจน์ด้วย เราก็เข้าไปสอนภาษาอังกฤษกับน้องเขา แล้วพอตกตอนเย็น เราก็จะมีกิจกรรมให้ทำกันค่ะ แล้วก็หลังจากนั้นก็กลับใช่มั้ยคะ แล้วเขาก็ให้จับสลากบทดีเบตว่าเราจะได้ดีเบตกับใคร เราจะเป็นฝ่ายสนับสนุนหรือเป็นฝ่ายค้าน แล้วก็เว้นมาอีกอาทิตย์หนึ่งเพื่อให้เป็นการเตรียมตัวค่ะ แล้วพอถึงวันดีเบตก็ดีเบตกันไป แต่เขาไม่ได้ตัดสินอะไรนะคะ แต่ว่าตอนหลังก็มีตอบคำถามเหมือนนางงาม แบบหยิบคำถามมาทีละคน จับสลากสุ่มเอาค่ะแล้วก็ให้ตอบคำถาม 1 นาที 

สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดจากการเข้าร่วมโครงการ MU-IR Ambassador

กิ๊ฟ: คือมันแบบเหมือนประทับใจเยอะมาก เหมือนแบบได้สอนอะไรเราหลาย ๆ อย่าง แต่ว่าที่เด่น ๆ ก็เป็นพวกฝึกความกล้าแสดงออก คือสำหรับหนูแล้ว แต่ก่อนไม่ค่อยกล้าแสดงออกอะไรอย่างนี้ แต่ว่าพอมาในโครงการนี้ รู้สึกว่าเราได้เปิดโลก ได้เห็นว่าคนอื่นกล้าเนอะ ทำไมเราจะกล้าบ้างไม่ได้อะไรงี้ แล้วรู้สึก เฮ้ย เราก็ควรที่จะพัฒนาตรงนี้ขึ้นมา แล้วมันก็ฝึกเราจริง ๆ ว่าเราได้เป็นคนที่กล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าที่จะพูดในที่สาธารณะ พูดให้คนอื่นฟัง กล้าแสดงออก ความคิดเห็นของตัวเองมากขึ้นค่ะ

คิดว่าอะไรที่ทำให้เราได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน MU-IR Ambassador บ้าง

กิ๊ฟ: คืออันนี้หนูก็มองไม่ค่อยออกเหมือนกัน แต่ว่าสำหรับหนูแล้ว ถ้าเกิดเราตั้งใจทำอะไรด้วยใจจริง เราทำมันด้วยใจ เราแสดงออกมันทั้งหมดที่เรามีอะไรอย่างนี้ แล้วเราให้ไปเต็มร้อย หนูว่ากรรมการก็เห็นแล้วว่าเราตั้งใจ แล้วเขาก็น่าจะอยากได้คนที่ตั้งใจจะเป็น MU-IR Ambassador จริง ๆ ก็เลยคิดว่าเขามองมาที่ใจค่ะ

ในความคิดของคุณ MU-IR Ambassador คืออะไร

กิ๊ฟ: MU-IR Ambassador เป็นเหมือนกับหน้าตาของมหา’ลัยมหิดล เราต้อง represent ความเป็นมหิดลไปให้คนอื่นเห็น แต่เราก็ต้องอย่าลืมว่า เราเป็นมหิดล เราต้องไปทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น

รู้สึกอย่างไรบ้างกับการได้เข้าร่วมโครงการนี้

กิ๊ฟ: ตอนแรกที่สมัครมาก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เพราะว่าเราก็ยังปี 1 อยู่ด้วย แล้วเรารู้สึกว่า เฮ้ย ประสบการณ์ก็คงจะน้อยกว่าพี่ ๆ ปีอื่น แต่พอได้เข้ามาอยู่ในโครงการแล้ว เรารู้สึกว่าทุกคนเท่าเทียมกันมาก มันเหมือนไม่มีคำว่ารุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ก็ยังมีอยู่นะ แต่รู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนกับเราได้หมดเลย ทุกคนน่ารัก แล้วรู้สึกว่าโครงการนี้ให้สิ่งดี ๆ มากกว่าเราบอกว่าเรามา 5 วันอะไรงี้ แต่แบบฟังดูสั้น แล้วก็แบบฟัง ดูทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่รู้สึกว่า คือมันสอนอะไรเราในทุก ๆ กิจกรรมเลย สอนไปในตัวด้วยค่ะ

ให้คำแนะนำกับน้อง ๆ ที่จะสมัคร MU-IR Ambassador ในครั้งต่อไปหน่อย

กิ๊ฟ: ที่อยากจะแนะนำก็ ถ้าหากมีความตั้งใจ แล้วก็อยากจะมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว MU-IR เชื่อว่าทุก ๆ คนทำได้ แค่คุณมีความกล้าแสดงออกและมีใจรัก นี่ก็ว่าน่าจะเข้าได้แล้วค่ะ

(ซ้าย) โม-มัณฑนา เหล่าภัทรเกษม (ขวา) กิ๊ฟ-วิชญาภา วงศ์สกุลวิวัฒน์
ขอบคุณภาพจาก มัณฑนา เหล่าภัทรเกษม

       จากบทสัมภาษณ์ที่ผู้เขียนนำมาฝากนี้ จะเห็นได้ว่าการทำกิจกรรมให้อะไรดี ๆ กับเรามากกว่าที่เราคิด หากว่าคุณต้องการที่จะทำกิจกรรม แต่คุณยังคงไม่มั่นใจหรือยังไม่มีโอกาส เราขอให้คุณลองพังกำแพงของตัวเอง คว้าโอกาส และก้าวไปทำกิจกรรมที่คุณอยากทำ 4 ปีในชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยมีมากกว่าแค่การเรียนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

7 พระราชโอวาทแห่งพระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย

https://mahidol.ac.th/th/2018/ir-ambassador2018/

https://mahidol.ac.th/th/2020/muir-ambassador-2019/

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s