ยศภัทร กาฬษร เขียน
พรทิพย์ ชนะศุภชัย พิสูจน์อักษร
กุลธิดา คำขวัญ ภาพประกอบ
เมื่อความฝันของผมเริ่มต้นขึ้น เมื่อความเป็นจริงเป็นตัวกำหนด การเดินทางของปลายปากกาชีวิตจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ผมคงเป็นเหมือนเด็กมัธยมปลายหลาย ๆ คนมีความฝันอยากจะได้เรียนในมหาวิทยาลัยดี ๆ และคณะที่ผมภูมิใจ และได้เดินทางในเส้นทางที่ตัวเองเป็นผู้กำหนด แต่ความจริงกับความฝันเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน คำแนะนำทั้งหลายพุ่งเข้ามาหาผมราวกับผมเป็นเป้านิ่งที่ไม่มีความคิด ผมกลับทำได้เพียงยิ้ม และตอบด้วยเพียงคำสั้น ๆ “ครับ” ความห่วงใยและคำแนะนำที่หลากหลายกลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามมันกลับทำให้ผมอยากจะอาเจียนด้วยซ้ำ แต่ผมไม่รู้ผมไม่สนใจนี้คืออนาคตของผม เส้นทางของผม ดังนั้นแล้วผมจะต้องเป็นผู้ขีดเขียนอนาคตด้วยปากกาชีวิตของผมเอง
การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ยากเสมอ ผมเป็นเด็กนักเรียนต่างจังหวัด การเรียนพิเศษกับสถาบันสอนพิเศษจึงเป็นเรื่องที่ผมจะไม่มีทางหวังอย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่ผมทำได้และไม่เปลืองเงินของพ่อแม่จนเกินไปคือการซื้อหนังสือมาอ่านเอง การต่อสู้กับความไม่รู้ในช่วงเเรกยากเหลือเกิน การยอมรับว่าเราไม่เก่งในเรื่องที่เราคิดว่าเราทำได้ดีเป็นเรื่องที่ทำใจได้ลำบาก ในช่วงแรกของการยอมรับจึงมีคราบน้ำตาของความผิดหวังเป็นเพื่อน ความกดดันเป็นศัตรูที่คอยผลักเราให้ล้มในทุกค่ำวัน ข้อสอบต่าง ๆ ที่ผมลงมือทำ ผมกลับทำคะแนนได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของคะแนนที่ผมควรที่จะต้องได้เท่านั้น แต่ผมไม่ยอม ไม่มีทางยอมให้กับโชคชะตาที่ผมไม่ได้เป็นคนลงมือวาดเขียนเองเด็ดขาด
ถึงเเม้ว่าน้ำตาที่ผมเสียไป ต่อให้มากกว่ามหาสมุทรของความเศร้า แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือการยอมรับความจริงที่ว่าผมไม่ได้เก่งเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ผมต้องยอมรับมันให้ได้และต้องพยายามให้มากกว่านี้ โดยสิ่งเดียวที่ผมกำหนดได้นั้นก็คือตัวของผมเอง ผมในวันที่ท้อผมก็ยังคงยิ้มได้ ในวันที่ร้องไห้กับความพ่ายแพ้ แต่ผมก็หยัดกายขึ้นมาเพื่อสู้ต่อ ผมจะไม่ทอดทิ้งความฝันของผมเพียงเพราะเรื่องราวเหล่านั้น จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จค่อย ๆ พัฒนาจนคะแนนสอบเริ่มเป็นที่พอใจขึ้นเรื่อย ๆ “สู้จนยิบตา” คำที่สามารถอธิบายสภาพทางความรู้สึกในช่วงแรกของผมได้ดีที่สุด
ในทุก ๆ วันหลังจากเรียนเสร็จ ผมในฐานะเด็กนักเรียนม.ปลายจึงมีหนังสือเป็นเพื่อน และวิดีโอติวข้อสอบต่าง ๆ เป็นรายการช่องโปรด แต่ในบางวันที่สมองของผมโอดครวญขอหยุดพัก การพักผ่อนช่วงสั้น ๆ กับการให้รางวัลตัวเองด้วยช็อกโกแลต 1 แท่ง ก็สามารถช่วยเยียวยาจากการอ่านหนังสือแบบมาราธอนได้ไม่มากก็น้อย หลังจากได้พักแล้วผมก็ยังต้องกลับมาวิ่งในลู่วิ่งของความฝันเหมือนเดิม ซึ่งบนลู่วิ่งความฝันของผมไม่ได้สร้างความโดดเดี่ยวเลย เพราะตลอดข้างทางผมยังคงมีพ่อแม่ พี่น้อง และคนรอบข้างที่ต่างคอยหยิบยื่นกำลังใจ และความเป็นห่วงเป็นใยให้ผมเสมอ แรงขับเคลื่อนทางความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากส่วนผสมระหว่างความสุขกับความเศร้าที่คอยผลักผมให้สามารถก้าวต่อไปได้ แม้ขาของผมกำลังจะอ่อนล้าแล้วก็ตาม ขอบคุณครับ ขอบคุณที่คอยมอบยาชูกำลังชั้นดีให้ผมตลอดเส้นทาง ขอบคุณจริง ๆ
หลังจากที่ผมเดินมาได้นานพอสมควร นานพอที่จะเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ส่องแสงรำไร “อีกไม่ไกลแล้ว ความฝันของผมใกล้จะเป็นความจริงแล้ว” อีกเพียงไม่กี่ก้าว ความทุ่มเทและความพยายามของผมกำลังจะได้รับการทดสอบ ผมรู้ว่าในตอนนั้นผมมีความพร้อมแค่ไหน และมีจุดบกพร่องตรงไหนบ้างที่ควรเสริมเพิ่มเติมเข้าไปก่อนการทดสอบจะมาถึง
หลังจากวันนั้นที่เห็นเพียงแค่แสงที่ปลายอุโมงค์ วันนี้แสงนั้นกลับอยู่ตรงหน้าผมฉายชัดทุกความเป็นจริงราวกับกระจกวิเศษสะท้อนทุกสิ่งสรรพ แต่ผมไม่สามารถออกจากอุโมงค์แห่งความฝันนี้จนกว่าผมจะสอบวิชาต่าง ๆ เสร็จและรอวันประกาศผล ระหว่างการรอให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และจบลงด้วยการตกทางทิศตะวันตกในแต่ละวัน ๆ อีกไม่ถึง 2 เดือนผลก็ประกาศ วันประกาศผลถูกเลื่อนเข้ามาก่อนวันจริงเร็วกว่า 3 วัน ผมยังจำความรู้สึกตื่นเต้น และความกังวล ณ ขณะนั้นได้ดี ในใจของผมเต็มไปด้วยความกลัวที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในหลาย ๆ กรณี แต่ตอนนั้นผมมีความมั่นใจอยู่บ้างว่าอย่างน้อยผมต้องติดสักคณะอย่างแน่นอน เพราะตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานั้นผมเชื่อว่าผมทำเต็มที่
ช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ก็ถึงเวลาประกาศผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ทางสทศ.กำหนด เพื่อนชั้นมัธยมปลายของผมโพสต์ข้อความแสดงความยินดีที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตัวเองตั้งไว้ หรือโทรมาเล่าเรื่องความผิดพลาดให้กันฟัง เเละผมคือหนึ่งในคนที่สามารถคว้าความฝันในเรื่องราวของการเดินทางในครั้งนี้ได้ หลังจากที่ผมกดเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ ข้อความแสดงความยินดีปรากฏบนหน้าของเว็บไซต์เด่นชัดกลางหน้าจอ ผมได้เป็นนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลดังที่ผมตั้งใจไว้ ตอนนั้นผมดีใจเป็นอย่างมากแทบจะกระโดดรอบบ้านถ้าตอนนั้นผมสามารถทำได้ คนที่ดีใจรองจากผมก็คงหนีไม่พ้นพ่อแม่ของผม พวกท่านดีใจการกับสอบติดของผมเป็นอย่างมาก

วันนั้นเหมือนกับฟ้ากำลังก้มลงยิ้ม และทักทายด้วยความปรารถนาดีให้กับผม ผมยอมรับรอยยิ้มนั้นด้วยความภูมิใจในตัวเอง แต่การเดินทางของความฝันที่เราเป็นคนกำหนดไม่ได้มีเพียงเรื่องเรียนเท่านั้น การได้เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะทำให้มันเป็นจริง ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งที่ช่วยให้ผมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก็คงเป็นเพื่อนที่อยู่รอบกายของผม ตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ในระหว่างการเดินทางรอนแรมไขว่คว้าความฝันของตัวเองนั้น มิตรภาพ เรื่องราวระหว่างทางที่มีเพื่อน ๆ ของผมคอยจับมือของผมเอาไว้แน่น และก้าวเดินไปพร้อมกันเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนถึงความร่าเริงในรอยยิ้มและความสุขบนใบหน้า ไม่ว่าพายุลูกใหญ่ทางความทุกข์จะพัดโหมชีวิตสักเท่าไร แต่เพื่อน ๆ กลับจะนั่งอยู่ข้าง ๆ เราคอยปลอบโยนเรา หรือในวันที่ความจริงกับความฝันถูกปฏิเสธลง เพื่อนจะยังจับมือเราและพูดให้กำลังใจเสมอ แม้ช่วงเวลาแห่งความสุขจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ แต่เมื่อความจริงเริ่มปรากฏขึ้นดั่งกับเรื่องราวที่เราแบกรับด้วยขา 2 ข้างไม่อาจต้านทานเอาไว้ ระหว่างทางของผมคงโดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวมากถ้าหากไม่มีมิตรที่ดีเหล่านี้

อีกไม่กี่เดือน เขาพวกนี้ก็จะเริ่มหายไปจากชีวิตประจำวันของผม การเดินไปกินข้าวทุกกลางวันที่โรงอาหารแห่งเดิมจะกลายเป็นความทรงจำที่รอวันให้เราหวนคืน เสียงหัวเราะและเรื่องราวตลกมากมายจะกลายเป็นภาพขาวดำในหัวสมองที่เเต่งเเต้มไปด้วยสีสันของช่วงเวลา เวลาผ่านไปเร็วราวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน วันปัจฉิมนิเทศแห่งความทรงจำก็มาถึง ของขวัญซึ่งเป็นตัวแทนความทรงจำที่ผมต่างได้รับและได้มอบให้ รอยยิ้มที่เจือไปด้วยน้ำตาบ่งบอกถึงความยินดีตลอดเวลาที่เราได้รู้จักกันมา การโบกมือจากลาความทรงจำ การอำลาที่ส่งผลต่อความรู้สึกในภายหลัง แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบกาย เมฆลอยละล่อง เสียงนกร้องในวันนั้นกลับไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ขอบคุณมาก ๆ เลยนะเพื่อนในวัยมัธยมของฉัน “ขอบคุณที่มอบความทรงจำและเรื่องราวเหล่านั้นแก่ฉัน ฉันจะไม่มีทางลืมพวกแกอย่างแน่นอน ฉันสัญญาด้วยความทรงจำที่มีค่าทั้งหมดของฉันเลย”

ถึงแม้ว่าในแต่ละวันของการเดินตามความฝันนั้นสร้างความเจ็บปวดและความท้อแท้ให้กับชีวิต แต่ผลที่ออกมาคือการที่เราสอบติดคณะ และมหาวิทยาลัยที่เราต้องการก็คุ้มค่ากับสิ่งที่เราเสียไปไม่ใช้น้อย ผมในวันนี้วันที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือกับเพื่อน พูดคุยถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นตอนที่เราเป็นเด็กมัธยมปลายกำลังไล่ตามความฝันที่ตอนนั้นเราไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่ เราทำได้เพียงทำทุก ๆ วันของเราให้ดีที่สุด ตั้งใจเรียนอ่านหนังสือ และสร้างรอยยิ้มมิตรภาพให้เราหวนนึกถึงก็พบแต่เรื่องราวที่ดีที่สุด ตัวของผมในวันนี้อาจจะไม่สามารถพูดได้ว่ามีความสุขมากที่สุด แต่การที่ผมได้นั่งเรียนในคณะที่เราฝันมาตลอดก็ถือเป็นเรื่องราวที่ดี และมีค่ามากจนพื้นที่ว่างในใจผมถูกเติมเต็มด้วยความยินดีที่ผมเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รับรู้ได้