
สุชานันท์ กกกระโทก พิสูจน์อักษร
สุวิชญา แสงสีจันทร์ ภาพประกอบ
เหล่าชาวเกาะเริ่มกู่ร้องก้องตะโกนภาษาของพวกมัน อาจเป็นคำท้าสู้ ดูถูก หรืออะไรสักอย่าง ที่แน่นอนคือแม่ทัพฝั่งองค์ราชาเริ่มร้องกลับไป และสะบัดหอกดาบสั่งให้เริ่มสู้ได้ แร็กนาร์พุ่งผ่านตัวนางไปไวปานงูฉก ทหารที่เหลือตะบันฝีเท้าบุกเข้า นางยืนอยู่ตรงนั้น คอยก้าวหลบไม่ให้ตัวเองเผลอขวางทางใครเข้า วิลเฮล์มมองซ้ายขวาหน้าหลังรอบตัว ดาบของแร็กนาร์ยังกระตุกอยู่ที่ต้นขายามนางขยับวิ่ง การเฝ้ามองมาเนิ่นนาน ไม่ทำอะไรนอกจากรับคำสั่งบิดาทำให้นางยังขาดการคิดวางแผนด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าครูฝึกอาวุธตั้งใจให้นางเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถึงอย่างนั้นวิลเฮล์มก็ยังคงกุมด้ามดาบแน่นไม่ชักออกจากฝัก เหลือบมองเด็กหนุ่มที่เพิ่งผ่านการฝึกใหม่หมาดทั้งหลายที่ต่างพุ่งเข้ารบไม่คิดชีวิต นางเห็นฟาธอสฟาดดาบฟันไหล่ชาวเกาะคนหนึ่งลึกเกือบถึงสะดือ ผลัดหมุนมาสู้กับอีกคน และอีกคน บัลดัวร์พุ่งบ้าคลั่งอย่างไม่น่าสงสัยเลย เขาก้าวบุก ตั้งรับ ตวัดพุ่ง สะบั้นฟัน ลืมกันจุดอ่อนของตัวเอง จุดอ่อนที่นางสังเกตเห็นมาตลอด แต่ไม่มีโอกาสบอก และคงไม่รู้จะบอกอย่างไร
มันเป็นอย่างนี้สินะ การรบ นางไม่มีเวลาเหม่อ ต้องวางแผนสำหรับก้าวย่างถัดไปที่มาถี่เสียเหลือเกิน วิลเฮล์มกระชากดาบใหญ่โตพลางสะบัดผ้าคลุมทิ้ง เมื่อนักรบชาวเกาะเริ่มทะลวงมาถึงฝั่งที่นางคอยรั้งอยู่ แม้จะระแวดระวังในตัวเอง แต่นางก็เสือกแทงเข้าไปอย่างแน่วแน่มั่นคง ความรู้สึกยามแท่งเหล็กรีดบางกรีดเข้าเนื้อมนุษย์นั้นประหลาดสุดบรรยาย นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าผิวกายคนนุ่มนิ่มเหนียวหนับขนาดนี้ ปลายดาบทะลวงร่างปวกเปียกน่าเวทนาเหมือนหั่นหมู วิลเฮล์มถอนอาวุธออกมาตวัดใส่คนต่อไปและต่อไป ต่อสู้ตามสัญชาติญาณ และการเฝ้ามองที่ทำมาเสมอ แต่ตอนนี้นางไม่ได้ถูกกีดกันให้อยู่รวมกับกอวัชพืชอันห่างไกลอีกต่อไป นางเป็นวัชพืชที่เข้ามายึดโยงผืนดินให้หนักแน่นมั่นคงอยู่ตรงกึ่งกลาง
โล่พุ่งเข้ามาจากข้างหลัง วิลเฮล์มกระโดดหลีกก่อนก้มตวัดตัดขาฝ่ายนั้นล้มกลิ้ง การรบน่าหวาดหวั่น เป็นของใหม่ในทีแรก แต่พอเริ่มปลิดชีพคนต่อไปที่มีไม่สิ้นสุดก็เริ่มเหน็ดหน่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น วิลเฮล์มได้แผลทั่วตัว คลุกฝุ่นดินโคลนจนดำโทรม กระโปรงยาวขาดวิ่นขึ้นมาเลยเข่านานแล้ว มวยผมยาวกระเซอะกระเซิง สภาพเหมือนกับนักรบคนอื่นไม่มีเพี้ยนผิด นางได้ยินเสียงร้องไล่ตะเบ็งให้นางหนีจากเด็กหนุ่มรอบตัวค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นอุทานแกมตะลึง และในที่สุดก็ร่วมกู่ตะโกนแบบออกศึกประสานไปด้วยกัน บางคนถึงกับร้องตะโกนถาม “เจ้าไปเรียนทำแบบนั้นมาจากไหนน่ะ!” นางไม่สามารถส่งวจีใดกลับไปได้นอกจากพ่นลมหายใจทางจมูกอย่างแรงเพราะศัตรูดาหน้าเข้ามาอีกแล้ว พวกที่อายุมากมีประสบการณ์จ้องนางเขม็งจนเกือบเสียท่า ในขณะที่อาจารย์ผู้ฝึกนางมาทั้งชีวิตหายลับไปจากครรลองสายตา ได้ยินว่าเขามักทะลวงเข้าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอตัวแม่ทัพแล้วเผด็จศึกให้รวดเร็วที่สุดเสมอ ฝีมือระดับนั้นต่อให้ถูกล้อมก็กลับออกมาได้อยู่แล้ว แต่นางชักไม่แน่ใจ คำพูดเป็นลางของแร็กนาร์เมื่อหลายคืนก่อนยังติดอยู่ในใจ แม้นางจะไม่ได้แสดงออกอันใดมากนัก เพราะเขามักย้ำเสมอว่าให้เตรียมใจกับการตายของเขา แต่มันก็ยังไม่น่าเชื่ออยู่ดีเมื่อคิดว่ามันใกล้เข้ามา นางคงจะไม่มีวันรู้ว่าระยะเวลาของคนเราสั้นขนาดไหนถ้าไม่ลงมาในสนามรบ
ชาวเกาะมีวัฒนธรรมหลายอย่างต่างจากอาณาจักร พวกมันไม่สนเกียรติ มุ่งมั่นอย่างมากที่จะเอาชนะและนั่นยิ่งอันตราย วิลเฮล์มตั้งท่าจะวิ่งสุ่มทิศไปทางใดก็ตามที่แร็กนาร์คงจะไปอยู่ แต่มือเปรอะเลือดข้างหนึ่งพุ่งมาคว้าไหล่นางไว้ ฟาธอสส่ายหน้าชื้นเหงื่อเปื้อนดิน
“เจ้าคงไม่คิดจะตามมาสเตอร์ไปหรอกใช่ไหม ปล่อยเขาไปเถอะน่า เขามีประสบการณ์มากกว่าพวกเราสิบคนรวมกันเสียอีก”
นางอยากจะเถียงอะไรกลับไป แต่ท่อเสียงนางไม่อำนวยให้ส่งถ้อยคำใดก็ตามที่ซับซ้อนไปกว่าการอุทานสั้นห้วนขลุกขลักในลำคอ ฟาธอสส่ายหน้าให้หญิงใบ้ที่ดื้อดึงแล้วผลักนางไปข้างหลัง ทั้งที่เขาก็เห็นว่านางสู้อย่างไร ฟาดอย่างไร คำรามอย่างไร
“อยู่นี่แหละ”
ไม่ พอกันที
ร่างสตรีวิ่งแผล็วผ่านหลายคู่ที่กำลังตะลุมบอนบ้าคลั่งไม่สนใจใครอื่น ทิ้งให้ฟาธอสที่สภาพเละเทะไม่ต่างกันยืนสบถ “เพราะอย่างนี้ถึงไม่มีผู้หญิงในสนามรบ!” ไล่หลังตามมา วิลเฮล์มได้แต่สะบัดคมดาบไปเรื่อย ๆ อยากจะร้องเรียกชื่อบิดาก็ไม่สามารถกระทำได้ นางมีเพียงสายตาสอดส่องมองหาเขาท่ามกลางนักรบร้อยพัน เห็นแผ่นหลังกว้างใหญ่แลคุ้นเคยท่ามกลางดินแดงตีฟุ้งก็วิ่งเข้าหา เพื่อจะพบว่านางเข้าใจผิดเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ กองรบปะทะอันอุตลุดมั่วซั่ว ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ปะปนกันพัลวันพันเกจนแทบแยกไม่ออกหากฝั่งนางไม่สวมเกราะเหล็ก และชาวเกาะแทบไม่ใส่เครื่องป้องกันอะไรเลย
ดาบเล่มหนึ่งพุ่งใส่ นางเอนตัวหลบตามสัญชาติญาณใบมีดจึงได้แต่วาบผ่านหน้า ฝากรอยกรีดยาวลึกตั้งแต่โหนกแก้มขวา พาดปีกจมูกจรดพวงแก้มซ้าย วิลเฮล์มกลิ้งตัวหลีกหลบ แต่มันไม่ยอมให้นางทำเช่นนั้นได้โดยง่าย เจ้าหมอนี่ต่างกับพวกกากเดนที่นางได้สู้ด้วย มันว่องไวผิดขนาด ห่อพันตัวใต้หน้ากากทาสีแปลกกับเครื่องแต่งกายหนาปกปิดทุกส่วนต่างจากนักรบหมู่เกาะนายอื่น มันฟันใส่นางอีกครั้ง วิลเฮล์มเอี้ยวหลบเพื่อแทงสวนไป มันหลบรวดเร็วเช่นกัน ไอ้หมอนี่กำลังทำให้นางเสียเวลาในการตามหาพ่อ แต่สนามรบไม่ใช่โถงรวมญาติอยู่แล้วหรือเปล่านะ จงอย่าคาดหวังว่าจะได้รบเคียงบ่าไหล่ครอบครัว เพราะเมื่อก้าวเข้าสู่ลานศึก ทุกคนล้วนเป็นพี่น้องที่พร้อมตายแทนกัน
นั่นมันสำคัญกับนางตรงไหนเล่า วิลเฮล์มอ้าปากกู่ร้องแบบออกศึกซึ่งเป็นเสียงที่นางเปล่งได้ไม่บ่อยนัก แล้วพุ่งเข้าปะทะชาวเกาะผู้มิดชิดโดยตรง นางคงต้องจัดการเจ้าหมอนี่ให้ได้เสียก่อน เพราะมันน่าจะอยากจองเวรไปจนกว่าจะได้เห็นนางเป็นศพ
วิลเฮล์มบุกโดยใช้ไหล่นำตามที่แร็กนาร์เคยสอนไว้ ใบดาบครูดใส่กันส่งเสียงแหลมบาดหู ดินแดงสาดกระจายไปตามส้นเท้ายามขืนตัวฝืนแรง นางก้มหวดดาบใส่น่องฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในระดับต่ำ มันรู้ตัวทันแต่ก็ไม่อาจเลี่ยงได้หมด จึงเกิดรอยบาดตรงหัวเข่าเช่นเดียวกับที่ได้ฝากไว้ตรงหน้านาง ชั่ววินาทีนั้นนางนึกสงสัยว่าแร็กนาร์จะมีสีหน้าอย่างไรหากรู้ว่านางได้แผลที่หน้าตั้งแต่การรบครั้งแรก ไม่มีผู้ชายคนไหนอยากได้หญิงอัปลักษณ์ที่มีตำหนิแม้แต่รอยมีดบาดบนนิ้วชี้ เหล่าสาวใช้ในวังเคยพูดคุยกันเช่นนี้ยามวิลเฮล์มเดินผ่านพวกนางไปเข้าเฝ้าตามคำเรียก ก้าวตามแร็กนาร์ต้อย ๆ เหมือนลูกหมาวิ่งหาแม่ หรือในกรณีนี้ก็คือพ่อ กระนั้นนางก็ไม่มีเวลารำลึกอดีตนานนักเนื่องจากนักรบชาวเกาะคนนี้ช่างรวดเร็วจนไม่อาจคิดอะไรอย่างอื่นได้นอกจากจะเอาอย่างไรกับย่างก้าวถัดไปดี
ดาบฟาดฟันมาจากทุกทิศทาง นางจัดการให้แน่ใจว่าพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งอยู่ในฝั่งของนาง แล้วปล่อยให้มันรุกคืบเข้ามาเพื่อจะมุดหลบดาบที่ฟันลงมาแล้วเอนตัวหลบ การกระทำที่จะทำให้สีข้างมีช่องโหว่ แต่นางรู้ดีกว่านั้น ดังนั้นเมื่อฝ่ายตรงข้ามมัวเมากับความคิดที่ว่าตนเองได้เปรียบ นางก็เสือกดาบกะจะเอาให้ทะลุไส้พุงนักรบชาวเกาะ แต่มันก็ยังอุตส่าห์เซหนีอย่างเงอะงะได้น่าโมโหนัก ใบดาบของนางเสียดเข้ากับท่อนแขนข้างที่ถืออาวุธของมันซึ่งก็ให้ผลลัพธ์ค่อนข้างน่าพอใจ หน้ากากทาสีเคลื่อนหมิ่นเหม่ อย่าปล่อยให้สักเสี้ยวนาทีผันผ่านโดยที่เจ้าไม่ได้วางแผนสำหรับย่างก้าวถัดไป แร็กนาร์มักพร่ำบอก บุตรีปฏิบัติตามเคร่งครัด นางกลิ้งหลบดาบที่ฟันลงมาอย่างเปิดเผยครั้งหนึ่งแล้วแทงใส่สีข้างศัตรูดังสวบเหมือนคนหั่นเนื้อกล้ามโตชำแหละวัวเขื่อง นักสู้มากฝีมือโงนเงน มองแผลที่ยังมีใบมีดคาอยู่ราวกับไม่เชื่อสายตา เมื่อวิลเฮล์มกระชากดาบของแร็กนาร์คืนมา คู่ต่อสู้ก็ล้มลงหน้าคว่ำ
นางไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงรอบตัวเริ่มเบาลง เบาลงจนกระทั่งกลายเป็นเงียบกริบ อาวุธหยุดปะทะ นักรบหยุดคำราม เกราะเหล็กหยุดกระทบ
สตรีหนึ่งเดียวหันมองซ้ายทีขวาทีอย่างงุนงง นางยังไม่เจอพ่อ และไม่ต้องการหยุดค้นหา แต่นางเพิ่งจะเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าพวกทหารเว้นที่ไว้ให้นางสู้กับนักรบชาวเกาะคนนี้กว้างเป็นวงเหมือนเส้นแบ่งลานฝึกกับคนดูอย่างไรอย่างนั้น
“ทวยเทพ” ใครบางคนกระซิบ
“นางฆ่าแม่ทัพงั้นหรือ”
“ผู้หญิงคนนั้นน่ะนะ ฆ่าง่าย ๆ อย่างกะทุบหัวปลา”
“ได้ยินว่านี่เป็นการรบครั้งแรกของนาง”
“ลูกสาวแร็กนาร์ไม่ใช่เหรอ”
วิลเฮล์มได้แต่ยืนตัวแข็ง ใบดาบเปรอะเลือดคาอยู่ในมือ สภาพแวดล้อมรอบกายถึงแก่สงัดงันไปอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ ก่อนเสียงโห่ร้องก้องตะโกนจะระเบิดใส่อากาศจนนางยกมือปิดหูอย่างตกตะลึง นักรบที่เหลืออยู่ร้องเชียร์อย่างประทับใจจนหูแทบแตก แม้จะคลางแคลง แต่ก็หายไปเมื่อได้ประจักษ์การต่อสู้เต็มตา หลายคนเข้ามากระแทกมือกับหลังเชิงถูกใจจนนางเกือบล้มคะมำ ฟาธอสน่าจะหายไปกับฝูงชน แต่บัลดัวร์ส่งเสียงเชียร์ดังที่สุด กระทั่งพวกหัวเก่าอายุมากยังพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม วิลเฮล์มรู้สึกประหลาด แปลกประหลาดอย่างที่สุด นางเผชิญกับการดูถูกเหยียดหยามมาทั้งชีวิต แต่ก็มีบิดาบุญธรรมคอยยืนหยัดเคียงข้าง และนั่นก็มากพอแล้วสำหรับคนที่เกือบจะได้เป็นทาสน่าสังเวชที่จะตายอย่างน่าสังเวชในอนาคต โลกของนางมีเพียแร็กนาร์มาตลอด เสียงร้องชื่นชม การยอมรับจากคนที่ไม่เคยเห็นนางในสายตา และนางก็ไม่เคยเห็นพวกเขาในสายตาเช่นกัน จึงทำให้นางรู้สึกประหลาดยิ่ง ทั้งอยากแย้มปากรับปลื้มใจ และยกแขนกอดอกขมวดคิ้วใส่ไปพร้อมกัน
“แต่ถ้านางเป็นคนสู้กับแม่ทัพ แล้วแร็กนาร์อยู่ไหนล่ะ”
ใครคนหนึ่งร้องถามสิ่งที่นางอยากรู้ใจจะขาดเช่นกัน
ไม่มีใครตอบ
แร็กนาร์ไม่กลับมาจากการรบครั้งนั้น ร่างอันใหญ่โตของเขาสาบสูญหายไปราวหมอกควัน ฟาธอสก็เช่นกัน เป็นเรื่องปกติของนักรบมือใหม่ พวกเขาส่งของขวัญที่ระลึกไปปลอบประโลมครอบครัวของฟาธอส และจากนั้นก็เป็นรอบของแร็กนาร์ พวกเขามีพิธีฌาปนกิจอาจารย์ฝึกอาวุธแห่งสำนักราชวังอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติจนคนที่ผูกพันรักมั่นกับเขาไม่อาจเอ่ยตำหนิติงเตียนอันใดได้แม้แต่คำเดียว วิลเฮล์มที่ปราศจากปีกบิดาให้เข้าไปหลบใต้เงามิได้เข้าไปยืนโปรยกลีบดอกไม้เบี้ยบายรายทางตามหน้าที่กำหนดกฏไว้ของบุตรี มิได้แบกโลงเปล่าตามหน้าที่กำหนดกฏไว้ของบุตรชาย นางเพียงกุมดาบของเขาเดินนำขบวนไปสู่หลุมขนาดใหญ่ที่พวกทาสขุดเตรียมไว้ตามคำสั่งองค์ราชา นางเดินในตำแหน่งของแม่ทัพแม้จะไม่ใช่แม่ทัพ นางเดินในฐานะนักรบ ราชินีเป็นคนเสนอให้นางอยู่ตำแหน่งนี้เมื่อทราบวีกรรมจากปากที่ตื่นเต้นของพยานเหตุการณ์ยามวิลเฮล์มฟาดฟันตัวต่อตัวกับแม่ทัพฝั่งชาวเกาะ พระราชาหาได้ปริโอษฐ์ต่อต้านอันใด พระองค์ขยับพัตร์ประทานอนุญาตอย่างน้อยนิดที่สุด
ก่อนหน้านั้นพระองค์ทรงเรียกนางไปเข้าเฝ้าเพื่อพูดคุยถามไถ่บางอย่าง แน่นอนว่านอกจากพยักหน้ากับส่ายหน้า วิลเฮล์มก็ไม่สามารถขยับปากตอบอะไรได้ ป่วยการจะสัมภาษณ์รีดเค้นเอาความ นางเห็นภริยาผู้ฉลาดเฉลียวของพระองค์ก้มลงกระซิบสื่อความบางอย่างด้วยสุรเสียงแผ่วเบาสะท้อนก้องแต่เพียงในขอบเขตที่จะสดับโสตกันสองคน ท้ายสุดองค์กษัตริย์เสนอตำแหน่งในสนามรบให้นาง รอยยิ้มภาคภูมิเสมือนว่าพระองค์ตัดสินใจเองทั้งหมดแขวนค้างประดับเต็มสองปราง วิลเฮล์มกลอกตามองภริยาของพระองค์โดยอัติโนมัติแม้จะไม่สมควร แล้วนางก็ส่ายหน้าปฏิเสธไป
ราชินีมาดึงแขนนางเสนอตำแหน่งองค์รักษ์ผู้ติดตามให้ภายหลังที่นางจะเดินออกนอกโถง “สนามรบเป็นของนักรบ ไม่ใช่ของบุรุษหรือสตรี และสนามรบครั้งนี้เป็นของข้า” พระนางว่า แสดงออกชัดว่าไม่ต้องการปล่อยให้นักรบฝีมือดีหลุดรอดผ่านไปโดยง่าย คราวนี้วิลเฮล์มจึงผงกศีรษะน้อมรับอย่างไม่รู้จะพูดอะไร
องค์ราชามิได้แสดงอาการขัดเคืองพระทัยเมื่อทราบข่าว ทรงรับรู้อย่างสุขุมผิดกับยามบ้าคลั่งออกรบฟาดฟัน ในขณะที่ราชินีแย้มโอษฐ์อย่างน้อยนิดที่สุด เป็นครั้งแรกที่วิลเฮล์มรู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างสององค์เยือกเย็นราวเหมันต์อันโหดร้ายตามคำเล่าเมื่อแปดสิบปีก่อน ราวกับพวกท่านซ่องสุมกำลังบางอย่างเพื่อวันหนึ่งจะปะทะกันเอง
บัดนี้ คนทั่วทั้งเมืองเป็นพยานจ้องมองขบวนยาตราศพนักรบอันแปลกประหลาดที่มีสตรียืนอยู่ในหมู่ทหาร เสียงซุบซิบสงสัยหึ่งบินในอากาศเหมือนผึ้ง วิลเฮล์มยืนอยู่หน้าสุด ปิดปากเงียบระหว่างนักบวชกล่าวอวยพรให้วิญญาณทหารกล้าไปสู่สรวงสวรรค์ นักรบที่เหลือประสานเสียงขับร้องบทยกย่องสรรเสริญทหารอาวุโสตามธรรมเนียม นางเหน็บดาบพ่อไว้ข้างเอว ดาบที่องค์ราชินีลองขอจับแล้ววิลเฮล์มแอบคิดไปว่าวรกายบางคงจะเซล้มเพราะน้ำหนักของมัน ผลปรากฏว่าพระนางยกด้ามดาบครูฝึกอาวุธขึ้นสูง เหวี่ยงตัดอากาศเหมือนกับยามที่วิลเฮล์มได้สัมผัสอาวุธคู่กายบิดาครั้งแรกไม่มีผิด ภาพนั้นทำให้นางสั่นสะท้านไปทั่วทั้งกาย “สนามรบครั้งนี้เป็นของข้า” คำนี้ไม่ผิดไกลไปจากความจริง เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมด ผู้หญิงถูกกีดกันจากสนามรบมาตลอด เหล่าชายชาตรีเชื่อเช่นนั้น แต่ความจริงเล่า
อาจมีหลายเรื่องให้วิลเฮล์มต้องเรียนรู้ นางเพิ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น นางดึงตัวเองกลับมาปัจจุบัน ยามถูกกระตุ้นให้เป็นฝ่ายนำการโปรยเหรียญทองยกย่องผู้ตาย เมื่อหมดระลอกของวิลเฮล์ม นางถอยออกมาเฝ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง จังหวะนั้น นางหันไปสบเนตรกับองค์ราชินีพอดี
พระนางแย้มโอษฐ์คมหวานบาดใจจนนางขนลุกชัน
สนามรบครั้งนี้เป็นของข้า ถ้อยกษัตรีสะท้อนก้องในหัว นางไม่ได้บอกใครว่าตอนที่พวกนักรบในสนามร้องดีอกดีใจ ต่างละทิ้งลานรบซึ่งกองเกลื่อนด้วยซากศพทั้งสองฝ่ายนั้น นางแอบเดินย้อนกลับไปสำรวจศพแม่ทัพศัตรูก่อนที่พวกชาวเกาะจะส่งคนมาเก็บร่างไป นางใช้ด้ามดาบปลิดหน้ากากทาสีนั้นขึ้น เพื่อจะเห็นว่าใบหน้าจอมทัพชาวเกาะผู้เกรียงไกรนั้นมีใบหน้าของสตรี
สตรีนางนั้นถอดแบบมาจากองค์ราชินีราวกับรูปพิมพ์
The End